การประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.)

การประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ  หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า  การประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ  หรือที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปสั้น ๆ ว่า พ.ร.บ.  ตามกฎหมายนี้บังคับให้ยานพาหนะทางบก (รถ) ที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน  ก๊าซ  หรือ  ไฟฟ้า  ต้องมี พ.ร.บ.  และเบี้ยประกันภัยเป็นราคาที่คงที่ตามชนิดของยานพาหนะแต่ละประเภทซึ่งบริษัทประกันวินาศภัยทุกแห่งต้องขายในราคาเดียวกัน  การไม่มีพ.ร.บ.เท่ากับเป็นการทำผิดกฎหมาย  โดยมีโทษดังนี้                           

1. เจ้าของรถไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท

2. ใครก็ตามนำรถไปใช้โดยไม่มี พ.ร.บ. มีโทษปรับสูงสุด 10,000 บาท 

3. เจ้าของรถนำรถไปใช้โดยไม่มี พ.ร.บ. จะมีความผิดเป็น 2 กระทง  มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท 

4. ต่อภาษีรถประจำปีไม่ได้  หากป้ายวงกลมหรือปัจจุบันที่ออกเป็นป้ายสี่เหลี่ยมหมดอายุ  เมื่อตำรวจตรวจพบจะต้องเสียค่าปรับ 400-1,000 บาท  และเมื่อไปต่อภาษีเกินกำหนดจะเสียค่าปรับร้อยละหนึ่งต่อเดือน  หากปล่อยทิ้งไว้เกิน 3 ปีไม่ไปต่อภาษี  ทะเบียนรถจะถูกระงับการใช้งานและมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

5. เมื่อเกิดอุบัติเหตุและรถที่เป็นฝ่ายผิดไม่มี พ.ร.บ. จะไม่ได้รับความคุ้มครองต้องเสียค่ารักษาพยาบาลให้กับตนเอง และให้กับคู่กรณีเองทั้งสิ้น  ทั้งยังถูกกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถที่เป็นหน่วยงานของ คปภ. หรือ สำนักงานคณะกรรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  มาเรียกเก็บเงินอีกสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท

การชดเชยจากกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.)  โดยหลัก ๆ มีดังนี้

1. ในกรณีได้รับความเสียหายต่อร่างกาย หรืออนามัย  แต่ไม่ถึงกับสูญเสียอวัยวะ  ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง  และค่าเสียหายอ่างอื่นที่ผู้ประสบภัยสามารถเรียกร้องได้ ตามมูลละเมิด  ตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกิน 80,000 บาท/คน 

2. กรณีทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ได้รับค่าชดเชย 500,000 บาท/คน

3. กรณีสูญเสียมือสองข้างตั้งแต่ข้อมือ  หรือแขนสองข้าง  หรือเท้าสองข้างตั้งแต่ข้อเท้า หรือขาสองข้าง  หรือสายตาสองข้าง (ตาบอด) ได้รับค่าชดเชย      500,0000 บาท/คน

4. กรณีสูญเสียมือหนึ่งข้างตั้งแต่ข้อมือ  แขนหนึ่งข้าง  เท้าหนึ่งข้างตั้งแต่ข้อเท้า   ขาหนึ่งข้าง  สายตาหนึ่งข้าง (ตาบอด)  ตั้งแต่ 2 กรณีขึ้นไป  ได้รับค่าชดเชย 500,000 บาท/คน               

5. กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร  ได้รับค่าชดเชย 300,000 บาท/คน                 

6. กรณีสูญเสียมือหนึ่งข้างตั้งแต่ข้อมือ  หรือแขนหนึ่งข้าง  หรือเท้าหนึ่งข้าง ตั้งแต่ข้อเท้า  หรือขาหนึ่งข้าง  หรือสายตาหนึ่งข้าง (ตาบอด)  กรณีใดกรณีหนึ่ง  ได้รับค่าชดเชย 250,000 บาท/คน

7. กรณีหูหนวก  เป็นใบ้หรือเสียความสามารถในการพูด  หรือลิ้นขาด  สูญเสีย อวัยวะสืบพันธ์ุ  หรือความสามารถสืบพันธุ์  จิตพิการอย่างติดตัว ได้รับการชดเชย 250,000 บาท/คน

8. สูญเสียอวัยวะอื่น ๆ นอกจากที่ระบุไว้ ตามข้อ 1. ถึง ข้อ 7   ซึ่งการสูญเสีย หรือการถูกทำลายลงแล้วนั้นจะกระทบต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุขของผู้ประสบภัย เช่น  การสูญเสีย  ม้าม  ปอด  ตับ  ไต  หรือ  ฟันแท้ทั้งซี่ตั้งแต่ 5 ซี่ขึ้นไป  หรือ  กระโหลกศีรษะถูกทำให้เสียหายเป็นเหตุให้ต้องใช้กระโหลกเทียม ได้รับการชดเชย    250,000 บาท/คน

9. กรณีสูญเสียนิ้วตั้งแต่ข้อนิ้วขึ้นไป  ไม่ว่านิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว  ได้รับการชดเชย 200,000 บาท/คน

10. กรณีเสียชีวิต  ได้รับการชดเชย 500,000 บาท/คน

11. กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นคนไข้ใน  ได้รับเงินชดเชยวันละ 200 บาท  สูงสุดไม่เกิน 20 วัน

12. ค่าเสียหายเบื้องต้น

12.1 กรณีผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อร่างกาย  จะได้รับค่ารักษาพยาบาลตามจำนวนที่จ่ายไปจริง  แต่ไม่เกิน 30,000 บาท/คน

12.2 กรณีที่ผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อร่างกายอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้  ได้แก่  ตาบอด  หูหนวก  เป็นใบหรือเสียความสามารถในการพูดหรือลิ้นขาด  สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์ เสียแขนขามือเท้านิ้ว  เสียอวัยวะอื่นใด  จิตพิการอย่างติดตัวทุพพลภาพอย่างถาวร  จะได้รับค่าชดเชยเบื้องต้น 35,000 บาท

12.3 กรณีผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อชีวิต  ได้รับค่าปลงศพ 35,000 บาท/คน

12.4 กรณีที่ผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายตามข้อ

12.1  12.2  และ  12.3  จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นไม่เกิน 65,000 บาท ดังนั้นการไม่มีหรือไม่ทำ พ.ร.บ.  อาจทำให้ผู้ขับขี่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลฯ เองหากเกิดเหตุขึ้น

ขอบเขตความคุ้มครอง

  1. คุ้มครองผู้ขับขี่ หากผู้ขับขี่รถประสบอุบัติเหตุและได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ประกันภัยจะจ่ายเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาล หรือกรณีเสียชีวิตจะมีการจ่ายเงินชดเชยตามวงเงินที่ระบุในกรมธรรม์
  2. คุ้มครองผู้โดยสาร ผู้โดยสารในรถที่เกิดอุบัติเหตุจะได้รับการคุ้มครองจากประกันภัยนี้เช่นเดียวกับผู้ขับขี่ ได้แก่ค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยในกรณีเสียชีวิต
  3. คุ้มครองบุคคลภายนอก คุ้มครองบุคคลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ไม่ว่าผู้ขับรถจะมีใบขับขี่หรือไม่ก็ตาม เงื่อนไขเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

ข้อดีของการทำ พ.ร.บ.

  1. ค่าเบี้ยฯ พ.ร.บ. มีอัตราเท่าเทียมกันของยานพาหนะแต่ละประเภท ไม่ว่าจะซื้อกับบริษัทประกันภัยไหนก็ตาม
  2. คุ้มครองผู้ขับขี่จากอุบัติเหตุขณะขับขี่ยานพาหนะทางบก
  3. คุ้มครองผู้โดยสารและบุคคลภายนอกเมื่อเกิดอุบัติเหตุกับยานพาหนะทางบก
  4. ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเรื่องค่ารักษาพยาบาล หรือการปลงศพ รวมทั้งค่าชดเชย ในกรณีมีผู้พิการหรือเสียชีวิตเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน

 

โพสท์ใน บทความ | ใส่ความเห็น

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3

การประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 ให้ความคุ้มครองพื้นฐานดังนี้

เมื่อเกิดเหตุเฉี่ยวชนกัน กรมธรรม์ให้ความคุ้มครองยานพาหนะ(รถ)ของคู่กรณีคือชดใช้ค่าเสียหายหรือซ่อมแซมให้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินทุนประกันที่ทำไว้เท่านั้น โดยคุ้มครองเฉพาะยานพาหนะของผู้เอาประกันที่เฉี่ยวชนกับยานพาหนะ (ทางบก)ของคู่กรณี หากรถผู้เอาประกันไปชนสัตว์ เสาไฟฟ้า และอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมัน ใช้ก๊าซ หรือ ใช้ไฟฟ้า ไม่คุ้มครอง

สามารถแบ่งเป็นความคุ้มครองหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก รวมถึงค่ารักษาพยาบาล และชีวิตของบุคคลภายนอกตามกฎหมาย รวมถึงผู้โดยสารภายในรถด้วย ส่วนบุคคลภายในตามกฎหมาย ได้แก่ พ่อ แม่ บุตร ภรรยา ลูกจ้าง จะไม่ได้รับความคุ้มครอง
2. ทรัพย์สินบุคคลภายนอก ไม่ได้หมายความถึงรถยนต์อย่างเดียว แต่ยังหมายถึงบ้าน ร้านค้า หมวกกันน๊อค และทรัพย์สินที่รถยนต์นั้นทำให้เสียหาย เป็นต้น
3. การประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา ได้แก่การที่ผู้เอาประกันขับรถไปชนจนทำให้มีผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ซึ่งมีความผิดทางอาญา บริษัทประกันฯ ต้องประกันตัวผู้ขับขี่ ตามที่ผู้ขับขี่ร้องขอ ภายในจำนวนเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ หากไม่พอผู้เอาประกันต้องไปหาเพิ่มเติม
4. ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ระหว่างซ่อม สำหรับกรณีที่ผู้เอาประกันเป็นฝ่ายถูก

หมายเหตุ ความคุ้มครองของแต่ละบริษัทประกันภัยอาจมีความแตกต่างกัน คุ้มครองหรือไม่คุ้มครองเรื่องใดบ้างในรายละเอียด ดังนั้นผู้เอาประกันควรศึกษาและพิจารณาก่อนการทำประกันทุกครั้ง

โพสท์ใน บทความ | ใส่ความเห็น

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+

การประกันภัยชั้น 3+ ให้ความคุ้มครองพื้นฐานดังนี้

  • คุ้มครองทรัพย์สินคือรถยนต์ของผู้เอาประกันและรถยนต์ของคู่กรณี โดยที่รถยนต์ของคู่กรณีต้องเป็นยานพาหนะที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์โดยใช้น้ำมัน แก๊ส หรือ ไฟฟ้าเหมือนกับผู้เอาประกันเท่านั้น ได้แก่ไปชนกับรถจักรยานยนต์ รถเก๋ง หรือ รถบรรทุก เป็นต้น (ยกเว้น ไปชนต้นไม้ ชนวัวควาย ชนฟุตบาท หรือ ชนรถจักรยาน เป็นต้น ประกันชั้น 3+ ไม่คุ้มครอง และการชนกันหรือเกิดอุบัติเหตุนั้นคู่กรณีต้องอยู่ในที่เกิดเหตุ หากคู่กรณีขับรถหนีไปผู้เอาประกันต้องจดจำรูปพรรณหรือหมายเลขทะเบียนรถของคู่กรณีให้ได้เพื่อการติดตามของตำรวจและบริษัทประกันฯ หากจำไม่ได้ประกันชั้น 3+ ไม่คุ้มครอง)

  • คุ้มครองคนที่อยู่ในรถที่เอาประกัน และ คนที่อยู่ในรถคู่กรณี เช่น เมื่อเกิดอุบัติเหตุและมีการบาดเจ็บเกิดขึ้น hhบริษัทประกันก็จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้ง 2 ฝ่าย หากพิการหรือเสียชีวิตบริษัทประกันก็จ่ายค่าชดเชยให้ด้วย

 

  • หมายเหตุ ความคุ้มครองของแต่ละบริษัทประกันภัยอาจมีความแตกต่างกัน คุ้มครองหรือไม่คุ้มครองเรื่องใดบ้างในรายละเอียด ดังนั้นผู้เอาประกันควรศึกษาและพิจารณาก่อนการทำประกันทุกครั้ง
โพสท์ใน บทความ | ใส่ความเห็น

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2

การประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 ให้ความคุ้มครองพื้นฐานดังนี้

  • คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหาย เมื่อรถยนต์ถูกโจรกรรม ถูกปล้นเอารถยนต์ไป เป็นต้น และตำรวจไม่สามารถติดตามรถยนต์ที่เอาประกันนั้นมาคืนได้ บริษัทประกันต้องชดใช้ค่าสินไหมให้ตามที่ระบุไว้ในกรรมธรรม์
  • คุ้มครองกรณีรถยนต์ไฟไหม้
  • คุ้มครองค่าซ่อมรถยนต์ของผู้เอาประกันและรถยนต์ของคู่กรณี
  • คุ้มครองกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนถนน โดยคู่กรณีจะได้รับการชดเชยค่ารักษาพยาบาล รวมทั้ง ในกรณีที่คู่กรณีเสียชีวิตด้วย
  • คุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ แล้วผู้เอาประกันมีความพิดทางอาญา จะมีเงินประกันตัวผู้ขับขี่ตามทุนประกันที่ได้ทำไว้กับบริษัทประกันภัย

หมายเหตุ ความคุ้มครองของแต่ละบริษัทประกันภัยอาจมีความแตกต่างกัน คุ้มครองหรือไม่คุ้มครองเรื่องใดบ้างในรายละเอียด ดังนั้นผู้เอาประกันควรศึกษาและพิจารณาก่อนการทำประกันทุกครั้ง

โพสท์ใน บทความ | ใส่ความเห็น

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ หรือ ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “ประกันชั้น 2+” ให้ความคุ้มครองสูงมากใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 เลยทีเดียว แต่ค่าเบี้ยประกันนั้นถูกกว่าการประกันชั้น 1 ประมาณครึ่งหนึ่ง แถมบางบริษัทประกันภัยยังมีการคุ้มครองรถยนต์น้ำท่วมเข้าไปอีก ซึ่งน่าสนใจมากสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดและชำระค่าเบี้ยกรรมธรรม์ในราคาที่สบายใจและสบายเงินในกระเป๋ามากกว่า

  • คุ้มครองคนที่อยู่ในรถที่เอาประกัน และ คนที่อยู่ในรถคู่กรณี เช่น เมื่อเกิดอุบัติเหตุและมีการบาดเจ็บเกิดขึ้น บริษัทประกันก็จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้ง 2 ฝ่าย หากพิการหรือเสียชีวิตบริษัทประกันก็จ่ายค่าชดเชยให้ด้วย
  • คุ้มครองความบาดเจ็บของคนในรถ อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ แต่ไม่เกินทุนประกันที่ได้ทำไว้ในแต่ละครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ และ คุ้มครองตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณียกเว้นที่ประกันชั้น 1 ไม่คุ้มครอง ได้แก่ – เมาแล้วขับรถ – ไม่มีใบขับขี่แล้วขับรถ – ใบขับขี่ถูกเพิกถอนแล้วขับรถ – ผู้เอาประกันขนยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมาย ขณะขับรถหนีตำรวจแล้วไปเกิดเหตุ แบบนี้ประกันชั้น 1 ไม่คุ้มครอง เป็นต้น
  • คุ้มครองทรัพย์สินของผู้เอาประกันในกรณีที่เกิดรถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้
  • คุ้มครองกรณีรถยนต์ผู้เอาประกันไปชนหรือเกิดอุบัติเหตุชนกับคู่รถยนต์ของคู่กรณีเหมือนกันเท่านั้น มักเรียกกัน สั้น ๆ ว่ารถชนรถ คือ ยานพาหนะทางบกที่ใช้พลังงานขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน ก๊าซ หรือ ไฟฟ้าของผู้เอาประกันไปชนกับยานพาหนะของคู่กรณีที่มีคุณบัติแบบเดียวกัน แบบนี้บริษัทประกันคุ้มครอง -กรณีที่ประกันชั้น 2+ ไม่คุ้มครอง ได้แก่ รถผู้เอาประกันไปชนวัวควาย กำแพง ต้นไม้ เสาไฟฟ้า ฟุตบาท เป็นต้น ประกันช้ัน 2+ ไม่คุ้มครอง -เมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยรถยนต์คู่กรณีชนรถยนต์ผู้เอาประกันแล้วขับหนีไป ผู้เอาประกันต้องจำเลขทะเบียนรถยนต์ของคู่กรณีหรือบันทึกภาพไว้ให้ได้ หากไม่มีหลักฐานหรือจำเลขทะเบียนไม่ได้ แบบนี้บริษัทประกันไม่ซ่อมรถยนต์ให้ผู้เอาประกัน
  • กรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ของผู้เอาประกันชนกับรถยนต์ของคู่กรณี และ รถยนต์ทั้ง 2 คันอยู่ในที่เกิดเหตุ ลักษณะนี้บริษัทประกันซ่อมรถยนต์ให้ทั้ง 2 ฝ่าย

หมายเหตุ ความคุ้มครองของแต่ละบริษัทประกันภัยอาจมีความแตกต่างกัน คุ้มครองหรือไม่คุ้มครองเรื่องใดบ้างในรายละเอียด ดังนั้นผู้เอาประกันควรศึกษาและพิจารณาก่อนการทำประกันทุกครั้ง

โพสท์ใน บทความ | ใส่ความเห็น

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1

การประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 โดยทั่วไปเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ประกันชั้น 1” เป็นประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด โดยคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันฯ และรถของคู่กรณี ไม่ว่าผู้เอาประกันจะเป็นฝ่ายผิดหรือเป็นฝ่ายถูก ทั้งยังคุ้มครองในกรณีที่มีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี เช่น ชนเสาไฟฟ้า ชนต้นไม้ ชนฟุตบาท เบียดกำแพง หรือ โดนชนแล้วคู่กรณีหนีแต่จดจำเลขทะเบียนรถ ของคู่กรณีไม่ได้ แบบนี้ก็คุ้มครอง

  • คุ้มครองความบาดเจ็บของคนในรถ อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ แต่ไม่เกินทุนประกันที่ได้ทำไว้ในแต่ละครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ และ คุ้มครองตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณียกเว้นที่ประกันชั้น 1 ไม่คุ้มครอง ได้แก่ – เมาแล้วขับรถ – ไม่มีใบขับขี่แล้วขับรถ – ใบขับขี่ถูกเพิกถอนแล้วขับรถ – ผู้เอาประกันขนยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมาย ขณะขับรถหนีตำรวจแล้วไปเกิดเหตุ แบบนี้ประกันชั้น 1 ไม่คุ้มครอง เป็นต้น
  • คุ้มครองรถยนต์สูญหายและไฟไหม้ – เมื่อรถหาย แต่ตำรวจติดตามรถมาคืนเราไม่ได้บริษัทประกันต้องชดเชยให้ผู้เอาประกันตามทุนประกันที่ได้ทำไว้ – รถหายเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ได้แก่ ทิ้งกุญแจไว้ในรถ หรือ สตาร์ทเครื่องรถไว้แล้วลงไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ พอกลับออกมารถหายไปแล้ว แบบนี้ประกันชั้น 1 ไม่คุ้มครอง
  • คุ้มครองน้ำท่วมรถยนต์ (บางบริษัทไม่คุ้มครอง)
  • บางบริษัทมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ได้แก่ มีช่างไปดูแลเมื่อรถเสีย เปลี่ยนยางอะไหล่ให้ เติมน้ำมันให้ หรือ มีรถยกฉุกเฉินบริการ เป็นต้น
  • ประกันชั้น 1 ซ่อมศูนย์ โดยทั่วไปจะรับรถที่มีอายุไม่เกิน 7 ปี ส่วนรถที่มีอายุ 7 ปีถึง 12 ปี ก็ยังสามารถทำประกันชั้น 1 ได้แต่จะเป็นการซ่อมอู่แทน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันนั้น ๆ บางกรณีที่ผู้เอาประกันทำประกันชั้น 1 กับบริษัทเดิมอย่างต่อเนื่อง และไม่เกิดอุบัติเหตุบ่อย หรือเกิดอุบัติเหตุแต่เป็นฝ่ายถูกบริษัทประกันอาจพิจารณาทำประกันชั้น 1 ให้ผู้เอาประกันรายนี้ถึง 20 ปีเลยทีเดียว
  • ผู้เอาประกันควรติดกล้องในรถยนต์ หรือ ระบุผู้ขับขี่ เพราะโดยทั่วไปบริษัทประกันมักจะพิจารณาลดเบี้ยประกันให้
  • ได้รับความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล และ การประกันตัวผู้ขับขี่ และ ค่ารักษาพยาบาลส่วนบุคคล

หมายเหตุ ความคุ้มครองของแต่ละบริษัทประกันภัยอาจมีความแตกต่างกัน คุ้มครองหรือไม่คุ้มครองเรื่องใดบ้างในรายละเอียด เช่น ความคุ้มครองน้ำท่วมหรือไม่คุ้มครอง ดังนั้นผู้เอาประกันควรศึกษาและพิจารณาก่อนการทำประกันทุกครั้ง

 

โพสท์ใน บทความ | ใส่ความเห็น

การประกันภัยรถยนต์

โพสท์ใน บทความ | 1 ความเห็น